บางครั้งชีวิตคนคือความผิดพลาด
ไม่มีใครเกิดมาโดยไม่เคยพบความผิดพลาดล้มเหลว ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมขนาดเกิดมาทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างดังใจ
แต่หากเป็นคนที่มีชีวิตอยู่กับความผิดพลาด เกิดมาเพื่อพบกับความผิดพลาดล้มเหลว นั่นกลับมีไม่น้อย
ชะตาฟ้าลิขิตคน มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ คำพูดนี้ความจริงออกจะโหดร้ายเกินไป ทำร้ายผู้คนที่ดิ้นรนพยายามมากจนเกินไป หากแต่ในบ้างครั้งบางคราว บางผู้บางคน ความโหดร้ายนั้นก็คือความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่อาจดิ้นรนหลบหนีจากความผิดพลาด ทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน เช่นเดียวกับคนเรียนรู้วิธีล้ม เพื่อให้ลุกขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่บาดเจ็บจนเกินไป นั่นบางครั้งยังง่ายกว่าการพยายามไม่ให้ล้มมากนัก
อโศก ชอบธรรม เป็นคนเช่นนั้น
เขาเกิดมาพร้อมกับความผิดพลาด เกิดมาภายไต้ดวงดาวแห่งความผิดพลาด
เขาชื่ออโศก แต่กลับดวงซวยโชคร้ายไม่มีสิ้นสุด หากมีสลากที่ถูกรางวัลเก้าในสิบ เขาจะเป็นหนึ่งที่เหลือรอด หากมีคนโชคร้ายที่จะโดนใบแดงหนึ่งในร้อย เขาจะเป็นคนๆนั้น
หากเขาพยายามทำอะไรซักอย่าง แม้จะมาได้ดีตลอด แต่ก็จะพังครืนลงในช่วงเวลาสุดท้าย ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ผ่านมาทำให้เขากลายเป็นคนระแวงทุกสิ่ง จนกลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง และนั่นก็ยิ่งทำให้ตัวเขาผิดพลาดมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นชีวิตของเขาจึงมีแต่ความโศกสลดมาตลอด ชื่อนี้ของเขากลับเป็นความผิดพลาดแรกสุด และรุนแรงที่สุด
วันนี้เขามาเที่ยวเมืองเหนือ ตั้งใจจะมาชมดอกไม้บานที่ดอยสูง ให้จิตใจที่อับเฉากลับมามีชุ่มชื้นอีกครั้งรับวันปีไหม่ที่จะมาถึง แต่ไม่ทราบเป็นเพราะสวรรค์บันดาลหรือชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ช่วงเวลาที่น่ารื่นรมณ์นี้กลับมีพายุลูกใหญ่พัดเข้ามา เป็นพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี เล่นเอาต้นไม้เล็กต้นไม้น้อยเละเทะไม่มีชิ้นดี ส่วนต้นไม้ใหญ่ก็ดอกร่วงจนแห้งโกร๋น
แม้แต่การมาเที่ยวชมดอกไม้บานที่เมืองเหนือ เขาก็ยังพบกับความผิดพลาด เป็นความผิดพลาดที่เหมือนฟ้าดินรังเกียจเดียจฉันท์มากกว่าจะเรียกว่าดวงซวย
เขามองดูซากทุ่งดอกไม้ที่เละเทะป่นปี้ มองดูอย่างเหม่อลอย จากนั้นพลันหัวเราะออกมา ไม่ใช่หัวเราะเยาะใคร แต่เป็นการหัวเราะเยาะตัวเอง
อาจบางทีแม้กระทั่งโลกนี้ก็ยังไม่ต้อนรับเขาเลยกระมัง ?
ถ้าเช่นนั้นแล้วก็ไปเถอะ ไปให้ไกล ไกลจากที่นี่ ไกลจากที่ไหนๆ ไกลจากทุกผู้ทุกคน
การกระทำเช่นนี้อาจเป็นความผิดพลาดซ้ำอีก แต่มันจะเป็นไร ในเมื่อผิดพลาดมาทั้งชีวิตแล้ว ผิดพลาดอีกครั้งจะเป็นไรไปเล่า
เขาหันหลังให้กับท้องทุ่ง เดินเรื่อยไปบนถนน ทีละก้าว ทีละก้าวอย่างเชื่องช้า และอย่างไร้จุดหมาย
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบ เดินมายาวไกลเท่าไหร่ไม่รู้ ยังมีเพียงสายตาที่เหม่อลอยมองไปข้างหน้า และสองขาที่ก้าวเดินอย่างไม่หยุดยั้ง
ตอนที่เขารู้สึกตัว เขาพบว่าตนเองกำลังเดินเข้าไปหาแสงสว่างจุดหนึ่ง เป็นแสงเพียงหนึ่งเดียวในความมืดมิด บนถนนอันยาวไกลยามค่ำคืน
อาจบางทีนี่เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกับที่แมลงโหยหาแสงสว่างจนบินเข้าหากองไฟ เขาพบว่าตนเองในเวลานี้ดูไม่ต่างกับหนอนแมลงเหล่านั้น ทั้งเล็กกระจ้อยร่อย และโง่เขลาอ่อนแอจนน่าสมเพช
แสงสว่างส่องออกมาจากร้านอาหารแผงลอยริมทางร้านหนึ่ง สองขาพาเขาเดินไปหาร้านอาหารนั้น สองตากวาดมองเมนูอาหารแวบเดียวก็สั่งมากิน เขาในตอนนั้นสูญสิ้นแรงกายแรงใจซะจนตัวเองสั่งอะไรไปบ้าง กินอะไรไปบ้างก็ยังไม่รู้
ลุงคนขายมองดูเขา มองอย่างปกติธรรมดา คล้ายได้เห็นคนเช่นนี้มาจนชาชิน คนที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงและไร้กำลังใจ มีเพียงชีวิตเท่านั้นที่เหลืออยู่
"มาจากไหนกันล่ะพ่อหนุ่ม ?"
ลุงคนขายถามเขา แต่เขาเพียงแค่นั่งนิ่ง ไม่มีอารมณ์จะตอบ
คุณลุงหัวเราะหึหึ ยังคงเป็นท่าทีที่ปกติธรรมดา คาดว่าลุงคงจะถามและได้คำตอบเช่นนี้มาไม่น้อยแล้ว
"วันนี้ก็อีกวัน ได้ลูกค้าเดิมๆ ลูกค้าชั้นดีที่ไม่มีวิญญาณ"
อโศกยังนั่งนิ่ง คำพูดนี้คล้ายเหน็บแนมเขา แต่เขาไม่เหลือแรงแม้แต่จะโกรธแล้ว
ลุงคนขายเอาเหล้ามารินใส่แก้ว รินเองดื่มเอง พอซดจนหมดก็พูดอีกว่า
"ลุงเปิดร้านมานาน นานมากกกกก... บอกได้เลยว่ามีลูกค้าแบบพ่อหนุ่มมานับไม่ถ้วน เพราะงั้นถ้าไม่อยากตอบ ไม่อยากพูดด้วยก็ไม่เป็นไร ฟังอย่างเดียวก็พอ"
ลุงเอาแก้วเพิ่มมาอีกใบ รินเหล้าให้เขาแล้วยักไหล่
"แก้วนี้เซอร์วิส กินฟรีไม่คิดเงิน ถ้ายังมีอารมณ์กินน่ะนะ"
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับ สายตาและมือของเขายังไม่ละไปจากชามข้าวและพื้นโต๊ะ
คุณลุงดื่มเหล้าคนเดียว พูดคนเดียว ดื่มจนหน้าแดง และพูดไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย เนื้อหาที่พูดมีทั้งเรื่องไร้สาระ เรื่องที่ผ่านมา เรื่องราวมากมายที่ได้ประสบพบเจอ เรื่องดีเรื่องร้ายสัพเพเหระ แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจ และไม่คิดจะฟัง
จวบจนกระทั่งสุดท้าย ลุงก็พูดในสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจนั่งนิ่งได้อีก
"พ่อหนุ่มเอ๊ย ชีวิตน่ะมันยาวไกล มีขึ้นมีลง กะอีแค่เรื่องของโชคดีโชคร้ายจะไปสนใจอะไรมากมาย"
ลุงพูดเสียงเรียบๆพลางจิบน้ำสีอำพันในแก้วตามลงไป แม้จะพูดเพียงรอบเดียว แต่คำพูดนั้นกลับดังก้องอยู่ในหูเขา
"ลุงจะมารู้อะไรกับเรื่องของผม..."
เขาพูดด้วยเสียงที่สั่นเทาและอ่อนระโหยโรยแรง
คุณลุงหัวเราะออกมา คราวนี้ไม่ใช่หัวเราะหึหึ แต่หัวเราะให้ได้ยินกันจริงๆ
"รู้สิ เธอคงคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่สุดในโลกใช่ไหม คิดว่าโลกนี้หมุนไปโดยมีตัวเธอเป็นจุดศูนย์กลางในความล้มเหลวรึไง หรือเธอคิดว่าพระเจ้ามีจริง แล้วก็นึกสนุกเฝ้ามองเธอไปพลางรังแกเธอไปพลางทุกวัน เธอเห็นว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเชียว ?"
"ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น แล้วมันจะเป็นอะไรได้ คนที่เกิดมาพร้อมความผิดพลาดแบบผมจะบอกว่าทุกอย่างมันบังเอิญหรือไงกัน ?"
ลุงพยักหน้าแล้วตอบว่า
"ใช่แล้ว ทุกอย่างก็แค่เรื่องบังเอิญ"
คุณลุงเน้นเสียงพูดเสริมไปอีก
"มันก็แค่คิดไปเอง เธอไม่ได้สำคัญกับพระเจ้าขนาดนั้นหรอก"
เขาหัวเราะบ้าง หัวเราะจนเสียงดังลั่น หัวเราะจนน้ำตาเล็ด
"ลุงจะบอกว่าลุงเป็นคนทรงที่ไปเจอกับพระเจ้าบ่อยๆงั้นสิ เลยรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้สนใจอะไรผม รู้ไว้ซะเถอะว่าคนตรงหน้าลุงนี่แหละคือคนที่พระเจ้าเกลียดชังที่สุดในโลก !!"
หลังจากพูดจบ เสียงหัวเราะของเขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ ร้องด้วยเสียงอันดังไม่ต่างกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ คล้ายกับความด้านชาที่ผ่านมาเป็นทำนบที่คอยขวางกั้นความรู้สึกของเขา พอเปิดใจให้เล็กน้อยมันเลยทะลักออกมารวดเดียว จะห้ามก็ห้ามไม่หยุด จะฉุดก็ฉุดไม่อยู่
ความในใจที่ไม่อยากพูด ความหลังที่ผันผ่าน ความเศร้าที่รู้สึกหลั่งไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา ในตอนนี้เป็นครั้งแรกที่คุณลุงไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งฟังอย่างเดียว
บทบาทของทั้งสองคนคล้ายสลับกันจากเมื่อครู่อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นเขาที่พูดไม่หยุด แล้วคุณลุงก็นั่งฟังอย่างสงบแทน
คุณลุงยิ้มน้อยๆ คล้ายได้ฟังเรื่องที่สุดแสนจะปกติธรรมดาเรื่องหนึ่ง ไม่ก็กำลังดูวีดีโอม้วนเก่าที่ดูซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบแล้วยังไงยังงั้น
"ไงล่ะลุง ไอ้แบบนี้แล้วยังจะบอกว่าพระเจ้าไม่เคยสนใจหรือกลั่นแกล้งผมเป็นพิเศษกว่าคนอื่นอีกเหรอ ? ไอ้ขนาดฟ้าดินยังแปรปรวนเพื่อผมเนี่ย คนธรรมดาทำได้รึไงกัน ?"
เขาถามคุณลุงคนขายด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ ไม่ใช่ยิ้มเยาะใคร แต่เป็นยิ้มเยาะตัวเอง
แต่คำตอบจากลุงยังไม่เปลี่ยนแปลง
"ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ พระเจ้าไม่ได้สนใจอะไรเธอเป็นพิเศษหรอก เธอเองก็แค่คนๆหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรกับคนอีกหลายพันล้านคนเท่านั้นเอง"
"แต่ถ้าจะถามให้ได้ว่าทำไมฉันถึงรู้ล่ะก็..."
คุณลุงชี้ตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
"ก็เพราะฉันนี่แหละคือพระเจ้า"
เขามองคุณลุงด้วยสายตาแปลกประหลาด เหมือนกับกำลังมองคนสติไม่เต็มคนหนึ่ง
ลุงหัวเราะแล้วพูดว่า
"เธอไม่เชื่อหรอก ใครเชื่อเรื่องพรรค์นี้ก็บ้าเต็มที"
"แต่เรื่องที่ลุงบอกเธอเป็นเรื่องจริง โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวเธอ และเธอก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นไปในโลกนี้ โลกก็ยังอยู่ของมันเหมือนเดิม เป็นโลกกลมๆที่เหมือนเดิมเสมอ ตัวเธอเองตะหากที่เลือกจะมองมันในแง่มุมนี้ แง่มุมที่เลวร้ายที่สุดสำหรับตัวเอง !"
"มองโลกว่าผิดพลาด มองโลกว่าเลวร้าย มองว่าพระเจ้ากลั่นแกล้ง อย่ามาพูดให้ขำไปหน่อยเลย ตัวเองเกิดมาในโลกที่สุขสบาย ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไรเลยแท้ๆ ยังจะมาทำว่าตัวเองโชคร้ายที่สุดในโลกซะได้"
"ล้มเหลวแล้วไง ผิดพลาดแล้วไง อย่าบอกนะว่าเธอเกิดมาล้มเหลวทุกอย่างจริงๆ ถ้างั้นตอนกินข้าวแปรงฟันมิต้องพลาดจนทำไม่สำเร็จไปหมดเรอะ แล้วไอ้ที่เรียนมาถ้ามันพลาดมันผิดไปหมดแล้วเรียนผ่านมาจนป่านนี้ได้ยังไง มันก็ต้องตกแล้วตกอีกจนโดนรีไทร์ไปแล้วสิ เธอก็แค่เอาความโชคร้ายเปอร์เซ็นเดียวในชีวิตที่เจอมาเหมามันไปหมดเท่านั้นแหละ อย่ามาโบ้ยความผิดให้ชาวบ้านน่า ของพรรค์นี้โทษตัวเองซะบ้างก่อนจะไปโทษคนอื่น"
"ถนนสายชีวิตที่เดินมันไม่ได้เป็นเส้นตรงเสมอไปหรอกนะไอ้หนู ถ้าเดินตรงแหน่วไปจุดหมายมันจะไปสนุกอะไร การเดินหลงซ้ายเป๋ขวาบางทีมันก็ทำให้ได้เจออะไรที่ไม่เคยเห็นได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่เปิดใจมองมันสุดท้ายก็ได้แต่เหนื่อยเปล่านั่นแหละ ไม่ต่างจากที่เธอหลงมาที่นี่หรอก"
คุณลุงหยุดพูดไปชั่วครู่ มองดูเขาที่นั่งนิ่งพูดไม่ออกด้วยแววตาที่อารี ก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล
"แต่ถึงเธอไม่เชื่อตอนนี้ อีกไม่นานเธอก็จะเชื่อ อย่างน้อยๆตอนนี้ลองเอาคำพูดของลุงคนนี้ไปคิดดูให้ดีๆก็แล้วกัน เพราะว่าจากนี้เราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว"
เขามองคุณลุงอีกที มองอย่างพินิจพิเคราะ ไม่ว่าลุงจะเป็นใคร แต่เขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าลุงไม่ใช่คนธรรมดา
"นี่คุณลุง... เป็นใครกันแน่ ?"
คุณลุงแหงนหน้าขึ้น ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า กล่าวช้าๆ
"ก็แค่พระเจ้าเบื่องานที่บังเอิญผ่านมา"
ในตอนนั้นพลันมีแสงสว่างจ้าเข้ามาเสียงแทงสายตาเขา ดวงตะวันยาวเช้าปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของคุณลุง สาดแสงเรืองรองผ่องอำไพ
เป็นประกายแสงที่เจิดจ้า สว่างสดใส จนพาให้ดวงตาพร่ามัว
"ส่วนนี่ก็แค่เซอร์วิสเล็กๆน้อยๆ"
คุณลุงกล่าวพลางชี้ออกไปที่ท้องทุ่งข้างทาง
แผงลอยที่เขานั่งกินจนถึงเมื่อครู่เป็นแผงลอยริมถนน ที่ริมทางมีอะไรก่อนหน้านี้เขาไม่คิดจะมองมัน แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาได้พบเจอ กลับเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะมาตามหาตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาตรงดิ่งมาหาแล้วไม่เจอ แต่เดินหลงทางเลื่อนลอยเรื่อยมากลับได้เจอเอง
ทุ่งทานตะวันที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดอกทานตะวันนับพันนับหมื่นเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละต้นต่างโค้งเคารพมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียง อีกทั้งยังมีประกายระยิบระยับอันเกิดจากน้ำแข็งค้าง ราวกับเป็นอัญมณีนับล้านชิ้น
นั่นเป็นภาพที่ทอประกายเจิดจ้าที่สุด และงดงามที่สุดที่เขาได้พบเห็นมา
เป็นภาพที่หากไม่หลงทาง เดินมุ่งหน้าตรงไปคงไม่มีวันได้เห็น
ในพริบตานั้น เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา นั่นอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็เป็นได้ ที่เขารู้สึกว่าโลกนี้ได้ต้อนรับเขาแล้ว
ตอนที่เขาหันหน้ากลับมาอีกที ที่นั่นก็ไม่มีทั้งคุณลุง ทั้งรถเข็นแผงลอยอยู่อีก
ที่นั่นไม่มีใคร มีแต่ความเงียบเชียบ มีแต่ถนนที่เวิ้งว้างว่างเปล่า กับประกายแสงอันอบอุ่นจากดวงตะวัน
เขามองไปทางทิศตะวันออก มองดูดวงตะวันที่ทอแสง ที่นั่นคล้ายมีเสียงของคุณลุงแว่วมาอีกครั้ง
"จากนี้ก็เดินทางต่อไปให้สนุกล่ะพ่อหนุ่ม บนถนนสายชีวิตที่บิดๆงอๆนั่นน่ะ"
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น